วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

เลือกซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นอย่างไรให้ถูกวิธี




“เครื่องทำน้ำอุ่น” 


เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำให้น้ำร้อนขึ้น โดยอาศัยการพาความร้อนจากขดลวดความร้อน (Heater) ขณะที่กระแสน้ำไหลผ่านส่วนประกอบหลักของเครื่องทำน้ำอุ่นคือ ตัวถังน้ำ ทำหน้าที่บรรจุน้ำที่จะทำความร้อน, ขดลวดความร้อน ทำหน้าที่ทำความร้อนให้น้ำ เมื่อเราเปิดสวิตซ์ กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านขดลวดความร้อนทำให้น้ำร้อนขึ้น และอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ (Thermostat) ทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าเมื่อน้ำมีอุณหภูมิสูงถึงระดับที่ตั้งไว้ ผู้ใช้ก็สามารถเปิดน้ำอาบได้ และสามารถปรับอุณหภูมิน้ำได้ตามความต้องการ




ก่อนที่จะเลือกซื้อเครื่องทำน้ำอุ่น ควรตรวจดูระบบท่อน้ำประปาภายในบ้านว่าติดตั้งไว้เป็นแบบไหน ถ้าติดตั้งไว้แบบฝักบัวจุดเดียว ก็ควรเลือกซื้อเครื่องทำน้ำอุ่น แต่ถ้าติดตั้งระบบท่อไว้เป็นแบบท่อผสม มีอ่างอาบน้ำ ฝักบัวผสมยืนอาบ และก๊อกอ่างล้างหน้าผสม ก็ควรเลือกซื้อเครื่องทำน้ำร้อน ถ้าเลือกซื้อเครื่องไม่ตรงตามระบบ เมื่อติดตั้งแล้วเครื่องก็จะใช้งานไม่ได้

ตรวจดูกระแสไฟฟ้าภายในบ้านว่ามีกระแสไฟพอเพียงเหมาะสมกับเครื่องทำน้ำอุ่นหรือไม่ โดยดูจากการใช้กระแสไฟของเครื่องทำน้ำอุ่น จะใข้กระแสไฟประมาณ 7-17 แอมแปร์ (การทำงานต่ำสุด-สูงสุดโดยประมาณ) ต้องมีกระแสไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 20 แอมแปร์

ตรวจดูแรงดันน้ำภายในบ้าน โดยทั่วไปเครื่องทำน้ำอุ่นต้องการแรงดันน้ำเล็กน้อย ให้ทดสอบเบื้องต้น โดยดูแรงดันน้ำจากเมื่อเปิดฝักบัวให้น้ำไหลออกมา น้ำต้องมีแรงสาดออกมาจากฝักบัว แสดงว่าน้ำมีแรงดันพอควร แต่ถ้าน้ำที่ไหลออกมาไม่มีแรงสาด แต่รวมตัว หรือน้ำไหลห้อย ก็ควรต้องติดตั้งเครื่องปั้มน้ำขนาด 150 วัตต์ ขึ้นไปเพื่อเพิ่มแรงดันน้ำ เพราะหากไม่ตรวจสอบก่อน เครื่องอาจจะไม่ทำงาน เพราะแรงดันน้ำมาที่เครื่องทำน้ำอุ่นไม่เพียงพอ

ส่วนวิธีการเลือกซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นนั้น คุณควรเลือกซื้อรุ่นที่มีประสิทธิภาพและมีขนาดเครื่องที่เหมาะสม ไม่ดูใหญ่หรือเล็กจนเกินไป โดยการวัดจากจำนวนผู้ใช้ของครอบครอบครัว ว่าจำนวนคนในบ้านมีมากน้อยเพียงใด

สภาพภูมิประเทศที่คุณอยู่อาศัยนั้น มีสภาพอากาศอย่างไร หนาวมาก หรือหนาวน้อย เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการเลือกซื้อว่าจะเลือกซื้อจำนวนวัตต์มากหรือน้อย อย่างเช่นคุรอย่ภาคกลางอากาสไม่หนาวมากก็ไม่ควรซื้อเครื่องที่ใช้แรงวัตต์มาก แต่ถ้าหากคุณอาศัยอยู่ภาคเหนือ ก็ต้องเลือกซื้อแบบที่ใช้แรงวัตต์มาก เพื่อที่เครื่องจะได้ทำงานได้อย่างมีประสิทิภาพ

ที่จำเป็นต้องเลือกเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงและมียี่ห้อที่ได้มาตรฐาน เพราะว่ายิ่งยี่ห้อมีชื่อเสียงและได้รับมาตารฐานมากเท่าใด ความปลอดภัยก็จะสูงตามขึ้นไปด้วย เพราะเครื่องทีได้มาตจรฐานและมียี่ห้อ จะผ่านการทดสอบและได้รับรางวัลต่างๆ เพื่อเป็นการการันตี อาจจะราคาแพงกว่า แต่ก็คุ้มครองชีวิตคุณ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าชีวิตของคุณไม่ควรจะมาเสี่ยงกับเครื่องทำน้ำอุ่นราคาถูกๆ ไม่กี่บาท

เพื่อเป็นการช่วยลดค่าจ่าย ควรเลือกใช้หัวฝักบัวชนิดประหยัดน้ำ เพราะประหยัดน้ำกว่าหัวฝักบัวธรรมดา 25-75% เลือกใช้เครื่องทำน้ำอุ่นที่มีถังน้ำภายในตัวเครื่อง และมีฉนวนหุ้ม เพราะสามารถลดการใช้พลังงานได้ 10-20%

ในการใช้เครื่องทำน้ำอุ่น ควรเปิดเครื่องให้น้ำไหลพอเหมาะกับการใช้งาน ไม่ควรเปิดเครื่องตลอดเวลาในขณะอาบน้ำ อย่างเช่นสระผม หรือถูสบู่ก็ควรปิดเครื่อง เพราะความอุ่นของน้ำก็จะยังอุ่นอยุ่ เมื่อเสร็จแล้วจึงควรเปิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะจะช่วยลดการสูญเสียน้ำและช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า และหากใช้เสร็จควรปิดเครื่องทันที

ข้อสำคัญควรที่จะหมั่นตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบทำน้ำอุ่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้มีรอยรั่ว เพราะจะทำให้สูญเสียน้ำและสิ้นเปลืองค่าไฟ หากใช้เสร็จควรปิดวาล์วและสวิตซ์ทันที และหากเครื่องเกิดปัญหาขัดข้องควรปรึกษาช่างผู้นาญงาน ไม่ควรทำการซ่อมแวฒเอง เพราะหากเกิดกระแสไฟฟ้ารั่วออกมาแล้ว อาจทำอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ครับ



“เครื่องทำน้ำร้อน” VS “เครื่องทำน้ำอุ่น”
ต่างกันอย่างไร




หน้าหนาวอย่างนี้ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ขายดีอันดับต้นๆ คงไม่พ้นเครื่องให้ความอบอุ่น
และเครืองทำความร้อนจำพวก เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องทำน้ำร้อน แต่ก็ยังมีหลายคนยังสงสัยอยู่ว่าจะเลือกซื้อประเภทใดดี และทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้จะมาชี้แจงข้อแตกต่างของอุปกรณ์ไฟฟ้าสองประเภทนี้กัน



เครื่องทำน้ำร้อน คือเครื่องไฟฟ้าที่ทำให้อุณภูมิปกติของน้ำให้ร้อน โดยมีระบบการทำความร้อนสองแบบ คือแบบต้มน้ำให้ร้อนและเก็บไว้ในหม้อต้มซึ่งเครื่องแบบหม้อต้มจะมีขนาดใหญ่เพราะ จะต้องมีถังเก็บน้ำอยู่ภายใน ตัวเครื่องด้วยส่วนเครื่องทำน้ำร้อนอีกระบบหนึ่งเป็นแบบผ่านร้อนคือ น้ำอุณภูมิปกติที่ผ่านเข้ามาในเครื่องจะถูกทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นและปล่อยออกมาใช้ในทันที

แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก่อนจะนำมาใช้อาบน้ำชำระล้างได้ก็ต่อเมื่อต้องผสมกับน้ำอุณหภูมิเย็นอุณหภูมิปกติ ให้เปลี่ยนจากน้ำร้อน ร้อน ร้อน ให้เป็นน้ำอุ่นพอดี การติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนจึงต้องเตรียมท่อไว้ 2 ท่อเสมอ ท่อหนึ่งเป็นท่อที่เอาน้ำร้อนออกมาจาดหม้อ ส่วนอีกท่อหนึ่งนั้นเป็นน้ำอุณหภูมิปกติ น้ำจากท่อน้ำร้อนจะผสมกับน้ำที่อุณหภูมิปกติโดยการเปิดก็อกทั้งร้อนและเย็นให้ผสมกันจนอุ่นพอดี

เครื่องทำน้ำอุ่น ก็เหมือนหม้อที่ทำให้น้ำอุ่นขึ้นหรือมีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่ไม่ได้สร้างให้เป็นน้ำที่ร้อนจัดจนเกินไปแบบเครื่องทำน้ำร้อน การติดตั้งจะง่ายกว่าเพราะมีท่อน้ำปกติวิ่งเข้าไปในเครื่องเพียงอย่างเดียว น้ำออกมาจะถูกทำให้อุ่นขึ้นเมื่อไหลออกมาถึงฝักบัวก็ใช้การได้เลย

ลักษณะการติดตั้งและใช้งานที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือ

เครื่องทำน้ำอุ่น หรือ Shower Unit จะเป็นการติดตั้งใช้กับน้ำระบบ 1 ท่อ ภายในบริเวณที่อาบน้ำโดยตรง แล้วการใช้งานก็จะเปิดก๊อกที่ติดมากับเครื่อง เมื่อเปิดน้ำอุ่น ผู้ใช้สามารถปรับอุณหภูมิน้ำตามความต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่บนเครื่อง เครื่องทำน้ำอุ่นไม่เหมาะสำหรับการใช้กรณีต้องเติมน้าในอ่างอาบน้ำ

เครื่องทำน้ำร้อน หรือ MultiPoint Unit จะเป็นการติดตั้งใช้กับน้ำระบบ 2 ท่อ ซึ่งประกอบไปด้วย ท่อน้ำเย็น และท่อน้ำร้อน เมื่อน้ำไหลผ่านตัวเครื่องแล้วจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น แล้วส่งต่อไปเข้ากับก๊อกผสม เพื่อให้ผู้ใช้ สามารถผสมน้ำร้อนที่ได้จากตัวเครื่อง กับน้ำเย็นจากท่อน้ำเย็น เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสมตามความต้องการ

แต่อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดถึงจะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์เช่นเดียวกัน หากใช้อย่างผิดวิธีหรือไม่ศึกษาข้อมูลของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆให้ละเอียดถี่ถ้วน สำหรับเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าและเครื่องทำน้ำร้อนไฟฟ้าที่มีใช้กันอยู่ทุกครัวเรือนนั้นมี 2 ประเภทคือ ชนิดที่มีเครื่องป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วชนิดที่มีสายดินและชนิดที่ไม่มีเครื่องป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วชนิดที่มีสายดิน ซึ่งจะมีข้อแนะนำในการใช้แสดงไว้ที่ตัวสินค้าหรือในคู่มือที่ใช้ประกอบสินค้า

คณะกรรมการว่าด้วยฉลากจึงออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลากเรื่องให้เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าและเครื่องทำน้ำร้อนไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก โดยต้องระบุข้อความบนฉลาก ดังนี้



ชนิดที่มีเครื่องป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วชนิดที่มีสายดินจะต้องระบุข้อแนะนำในการใช้ว่า “ต้องติดตั้งสายดินพร้อมติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าและเครื่องทำน้ำร้อนไฟฟ้า” และชนิดที่ไม่มีเครื่องป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วชนิดที่มีสายดินให้ระบุข้อแนะนำว่า “ต้องติดตั้งเครื่องป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วชนิดที่มีสายดินและติดตั้งสายดินพร้อมติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าและเครื่องทำน้ำร้อนไฟฟ้า” และคำเตือนต้องติดไว้ด้านหน้าของตัวสินค้า

โดยใช้เป็นตัวอักษรสีแดงที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวอักษรอื่น โดยชนิดที่มีเครื่องป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วชนิดที่มีสายดินให้ระบุคำเตือนว่า “อันตรายถึงชีวิต ถ้าไม่ติดตั้งสายดิน” ชนิดที่ไม่มีเครื่องป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วชนิดที่มีสายดินให้ระบุคำเตือนว่า “อันตรายถึงชีวิต ถ้าไม่ติดตั้งเครื่องป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วชนิดที่มีสายดินและไม่ติดตั้งสายดิน”

หากผู้ประกอบธุรกิจฝ่าฝืนไม่จัดทำฉลากดังกล่าวให้ถูกต้องตามกฎหมายกรณีเป็นผู้จำหน่าย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณที่เป็นผู้ผลิต ผู้สั่ง หรือผู้นำเข้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากเป็นผู้บริโภค ถ้าเลือกซื้อสินค้าที่ไม่มีคุณภาพก็จะทำให้เกิดอันตรายกับตัวเองและครอบครัวได้เช่นกัน

เป็นข้อมูลเบื้องต้นก่อนที่จะทำการตัดสินใจว่าซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นหรือเครื่องทำน้ำร้อนแบบไหนดี ซึงก็จะมีทั้งข้อดี ข้อเสีย สิ่งที่คุณต้องรู้ มีหลายปัจจัยประกอบการตัดสินใจ ขึ้นอยู่กับคุณเจ้าของบ้านว่าจะตัดสินใจใช้ในแบบใด ส่วนแบบไหนจะอุ่นกว่ากัน ก็ต้องตามใจท่านเจ้าของบ้านแล้วกันครับ

ตู้เติมเงินมือถือหยอดเหรียญ





ตู้เติมเงินหยอดเหรียญ เรนโบว์ ออนไลน์ (Rainbow Online)

ระบบคืนเงินได้ ระบบเสียงพูดอธิบายการใช้งาน รองรับการเติมเงินมือถือ 3 ระบบ
ระบบสัญญาณกันขโมย ระบบตรวจสอบยอดเงิน ระบบแจ้งเตือนยอดเงินอัตโนมัติ










รายละเอียด ตู้เติมเงินมือถืออัจริยะ Top-Up Cellphone Vending Machine







- ขนาดตู้ กว้าง 32 ซม. ยาว 23 ซม. สูง 48 ซม. น้ำหนัก 16 กิโลกรัม


- ขนาดขาตั้งเครื่อง กว้าง 41 ซม. ยาว 60 ซม. สูง 160 ซม.


- รองรับการเติมเงินมือถือ 3 ระบบ


วันทูคอล (ONE-2-CALL) ของ เครือข่ายเอไอเอส (AIS)


แฮปปี้ (HAPPY) ของ เครือข่ายดีแทค (DTAC)


ทรูมูฟ (TRUE MOVE) ของ เครือข่ายทรู (TRUE)


- ระบบคืนเหรียญ สำหรับกรณีลูกค้าเติมเงินมือถือไม่ได้ ป้องกันปัญหาการใช้งาน


- ระบบสัญญาณกันขโมย แบบเสียง ป้องกันการโจรกรรม


- ระบบเสียงพูดอธิบายขั้นตอนวิธีการใช้งานทีละขั้นตอน สะดวกแก่ผู้ใช้งาน


- ระบบตรวจสอบยอดเงิน สามารถตรวจสอบหน้าที่ตู้ หรือ ผ่าน Call Center


- ระบบแจ้งเตือนยอดเงินอัตโนมัติ สำหรับแจ้งเตือนยอดเงินก่อนหมด


- ระบบเปิด-ปิดไฟฟ้าหน้าตู้อัตโนมัติ แบบตั้งเวลา


- ช่องหยอดเหรียญ ระบบป้องกันเหรียญปลอม รองรับเหรียญ 1, 2 , 5, 10 บาท


- อัตราการเติมเงิน 10, 20, 30, 40, 50 , 100 , 150 และ 200 บาท


- โครงตู้เหล็กหนาทนทาน พ่นสีอบกันสนิม


- ช่องเก็บเงิน ใช้เหล็กหนา ป้องกันการโจรกรรมได้เป็นอย่างดี


- กำลังไฟฟ้า 200 V / AC ค่าไฟฟ้าประมาณ 60-100 บาทต่อเดือน


- ทำเลที่เหมาะสม ได้แก่ มหาวิทยาลัย, โรงเรียน, แหล่งชุมชน, หอพัก, หมู่บ้าน เป็นต้น


- จุดคุ้มทุน 6 เดือน - 1 ปี


- รับประกัน 1 ปี


















ผลตอบแทนรายได้ จากตู้เติมเงินหยอดเหรียญ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน


1. รายได้จากค่าบริการเติมเงิน 3-5 บาทต่อครั้ง (สามารถปรับเปลี่ยนได้ 0-9 บาท)






เฉลี่ยจำนวนคน


ใช้บริการต่อวัน ค่าบริการต่อครั้ง กำไรต่อวัน กำไรต่อเดือน กำไรต่อปี


20 คน 3 บาท/ครั้ง 60 บาท/วัน 1,800 บาท/เดือน 21,600 บาท/ปี


40 คน 3 บาท/ครั้ง 120 บาท/วัน 3,600 บาท/เดือน 43,200 บาท/ปี


50 คน 3 บาท/ครั้ง 150 บาท/วัน 4,500 บาท/เดือน 54,000 บาท/ปี


100 คน 3 บาท/ครั้ง 300 บาท/วัน 9,000 บาท/เดือน 108,000 บาท/ปี






*่แนะนำจุดติดตั้งควรมีจำนวนคนใช้บริการเฉลี่ย 30-50 คนต่อวัน






2. รายได้จากมูลค่าเพิ่มของการเติมเงิน ของแต่ละค่ายมือถือ


วันทูคอล (One-2-CALL) ของ เอไอเอส (AIS) ได้มูลค่าเพิ่ม 3-3.5%


แฮปปี้ (HAPPY) ของ ดีแทค (DTAC) ได้มูลค่าเพิ่ม 3.5%


ทรูมูฟ (TRUE MOVE) ของ ทรู (TRUE) ได้มูลค่าเพิ่ม 5.5-6.5%






เฉลี่ยจำนวนคน


ใช้บริการต่อวัน เฉลี่ยจำนวนเงิน


ที่เติมต่อครั้ง ยอดเติมเงิน


ต่อวัน ยอดเติมเงิน


ต่อเดือน ยอดเติมเงิน


ต่อปี


20 คน 20 บาท/ครั้ง 400 บาท/วัน 12,000 บาท/เดือน 144,000 บาท/ปี


40 คน 20 บาท/ครั้ง 800 บาท/วัน 24,000 บาท/เดือน 288,000 บาท/ปี


50 คน 20 บาท/ครั้ง 1,000 บาท/วัน 30,000 บาท/เดือน 360,000 บาท/ปี


100 คน 20 บาท/ครั้ง 2,000 บาท/วัน 60,000 บาท/เดือน 720,000 บาท/ปี










ยอดการเติม %มูลค่าเพิ่ม มูลค่าเพิ่ม %มูลค่าเพิ่ม มูลค่าเพิ่ม


1,000 บาท 3.5% 35 บาท 6.5% 65 บาท


5,000 บาท 3.5% 175 บาท 6.5% 325 บาท


10,000 บาท 3.5% 350 บาท 6.5% 650 บาท


20,000 บาท 3.5% 700 บาท 6.5% 1,300 บาท


50,000 บาท 3.5% 1,750 บาท 6.5% 3,250 บาท


100,000 บาท 3.5% 3,500 บาท 6.5% 6,500 บาท






* ตัวอย่าง เจ้าของตู้เติมเงิน เติมเงินเข้าตู้ จำนวน 1,000 บาท กรณีมูลค่าเพิ่ม 6.5% เจ้าของจะได้


วงเงินที่สามารถให้ลูกค้าเติมได้ทั้งหมด 1,000+65 = 1,065 บาท






เงื่อนไขการสั่งซื้อสินค้า


1. มัดจำ 10% ของราคาสินค้า รายละเอียดดูได้ที่


2. ส่งเอกสารสำเนาบัตรประชาชนผู้ซื้อ พร้อมเซ็นต์รับรองสำเนา มาที่บริษัทฯ






3. ส่งแผนที่สถานที่ติดตั้ง มาที่บริษัทฯ


*เอกสารในการซื้อใช้เพื่อขอซิม (SIM) และสิทธิในการทำธุรกิจตู้เติมเงินมือถือกับเครือข่ายมือถือ






วิธีการเติมเงินเข้าซิมการ์ด (SIM Card) 3 วิธี (ขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อเครือข่ายต่อครั้ง)


1. เติมเงินผ่านตู้ ATM ของธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกรุงเทพทุกสาขา


2. เติมเงินสำหรับ ทรูมูฟ (TRUE MOVE) สามารถเติมเงินด้วยบัตรเติมเงิน


3. เติมเงินผ่านเคาว์เตอร์เซอร์วิส (Counter Service) ของค่ายโทรศัพท์มือถือทั้ง 3 ระบบ


4. เติมผ่านเคาว์เตอร์ธนาคารทุกธนาคาร (กรอกแบบฟอร์มรายละเอียดก่อนยื่นชำระเงิน)


5. เติมผ่านร้าน 7-11 ทุกสาขา (เฉพาะ Happy Online หรือ True Move ซื้อบัตรเติมเงิน)






หลักการทำงานของเครื่องเติมเงินมือถือเรนโบว์ ออนไลน์


1. ตู้เติมเงินมือถือมีหน้าที่เติมเงินเข้ามือถือของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ โดยลูกค้าสามารถเลือก


เครือข่ายที่ต้องการเติมได้ 3 ระบบ ได้แก่ วันทูคอล (1-2-CALL) ของ เอไอเอส (AIS)


แฮปปี้ (HAPPY) ของ ดีแทค (DTAC) และ ทรูมูฟ (TRUE MOVE) ของ ทรู (TRUE)






2. เลือกวงเงินที่ลูกค้าต้องการเติมเข้ามือถือของลูกค้า ตามอัตราการเติมเงินของค่ายมือถือ


เช่น 10, 20, 30, 50 , 100 , 150 และ 200 บาท เป็นต้น






3. กดเบอร์มือถือของลูกค้าที่ต้องการเติมเงิน เช่น 086-666-6666 เป็นต้น






4. ตู้เติมเงินเรนโบว์ ออนไลน์ จะทำการคำนวนยอดชำระ พร้อมสรุป ระบบเครือข่ายที่เลือก, วงเงิน


ที่เลือกเติม, เบอร์โทรมือถือที่ต้องการเติม และบวกค่าบริการต่อครั้ง สรุปข้อความทั้งหมดก่อน


ลูกค้าทำการหยอดเหรียญเติม เป็นการยืนยันขั้นตอนสุดท้าย


ตัวอย่าง เติมระบบ 1-2-Call จำนวน 20 บาท เบอร์โทร 086-666-6666 ค่าบริการ 3 บาท**


ดังนั้น ลูกค้าที่ต้องการเติมเงินต้องหยอดเหรียญทั้งหมด 20+3 = 23 บาท






5. เครื่องจะทำการเติมเงินผ่านระบบเครือข่ายออนไลน์อัตโนมัติ






6. ลูกค้าจะได้รับ SMS ตอบกลับว่าได้รับการโอนเงินเข้ามือถือเรียบร้อยแล้ว






* กรณีที่เครื่องเติมเงินเข้ามือถือไม่ได้ เครื่องจะทำการคืนเหรียญ ตามวงเงินที่หยอด เช่นสาเหตุ


เครือข่ายขัดข้องไม่สมบูรณ์ หรือ ไฟดับ ไฟฟ้าขัดข้อง หรือ กดเบอร์มือถือที่ไม่มีอยู่ในระบบใดๆ






** ค่าบริการเจ้าของตู้เติมเงินสามารถเลือกปรับได้ตามความต้องการ (ค่าบริการครั้งละ 0-9 บาท)






ข้อควรระวังในการใช้งาน


1. การเติมเงินเข้าตู้เติมเงิน ต้องเติมเงินเข้ากระเป๋าเติมเงินเท่านั้น สังเกตได้จาก


วันทูคอล (1-2-CALL) ของ เอไอเอส (AIS) ใช้คำว่า เอ็มเพย์ (Mpay) หรือ เอ็มแคซ (Mcash)


แฮปปี้ (HAPPY) ของ ดีแทค (DTAC) ใช้คำว่า แฮปปี้ออนไลน์ (Happy Online)


ทรูมูฟ (TRUE MOVE) ของ ทรู (TRUE) ใช้คำว่า ทรูเพื่อนคู่ค้า






2. ต้องเข้าใจเกี่ยวกับระบบของซิม (SIM) มือถือแต่ละค่ายผู้ใช้บริการ


วันทูคอล (1-2-CALL) ของ เอไอเอส (AIS) แยกกระเป๋าโทรและกระเป๋าเติมเงินออกจากกัน


แฮปปี้ (HAPPY) ของ ดีแทค (DTAC) แยกกระเป๋าโทรและกระเป๋าเติมเงินออกจากกัน


ทรูมูฟ (TRUE MOVE) ของ ทรู (TRUE) กระเป๋าโทรและกระเป๋าเติมเงินเป็นกระเป๋าเดียวกัน






3. ตรวจสอบยอดเงินในการเติมเงินคงเหลือ (สามารถตั้งการเตือนอัตโนมัติผ่าน Missed Call ได้ )


ตรวจสอบวันหมดอายุของซิม (SIM) เพื่อการบริหารจัดการที่ง่ายมากขึ้น (กดดูจากหน้าตู้)


ตรวจสอบยอดเงินคงเหลือผ่านระบบ Call Center ของแต่ละเครือข่ายมือถือ






4. กระเป๋าโทรจะเป็นกระเป๋าที่เติมเงินแล้วจะได้จำนวนวันในการใช้งานที่เพิ่มขึ้น


กระเป๋าเติมเงินเติมเงินแล้วจะไม่ได้จำนวนวันในการใช้งานที่เพิ่มขึ้น

10 เหตุผลที่เพลย์สเตชั่น 3 จะคัมแบ๊ก



เครื่องเพลย์สเตชั่น 3 ของโซนี่ เปิดตัววางจำหน่ายครั้งแรกในช่วงเวลาเดียวกับเครื่องวี
ของนินเทนโด หลังจากวางจำหน่ายสถานการณ์ยอดขายของ PS3 ดูจะไม่ดีนัก โดยทิ้งห่างเครื่องวีอยู่หลายขุมจนผู้สันทัดกรณีหลายคนมองว่า PS3 ได้แพ้แล้วในช่วงออกสตาร์ท แต่แล้วเมื่อสงครามฟอร์แมทสิ้นสุดลงโดยบลูเรย์ เป็นผู้ชนะ ก็สถานการณ์ก็เริ่มตีกลับเครื่อง PS3 ที่สามารถเล่นแผ่นบลูเรย์ได้ดูสดใสขึ้นทันตา ซึ่งทางเว็บไซต์แฟนบอยของโซนี่ ก็ได้ออกมารับลูกให้เหตุผล 10 ประการที่จะทำให้เพลย์สเตชั่น 3 กลับมาสู่จ้าวคอนโซลอีกครั้ง




1.บลูเรย์เป็นผู้ชนะในสงครามฟอร์แมท

บลูเรย์เป็นผู้ชนะในสงครามฟอร์แมทเหนือคู่แข่งอย่าง HD-DVD ที่ประกาศยอมแพ้ไปแล้ว การเป็นผู้ชนะในสงครามฟอร์แมทจะส่งผลให้เครื่องเกมเพลย์สเตชั่น 3 ที่สามารถอ่านแผ่นบลูเรย์ได้มีความต้องการมากขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนั้นเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 ยังเป็นอุปกรณ์ราคาถูกที่สุดที่สามารถอ่านแผ่นบลูเรย์ได้อีกด้วย



2.เกมระดับคุณภาพบนเพลย์สเตชั่น เน็ตเวิร์ค


โซนี่พยายามใช้นวัตกรรมและการประยุกต์เนื้อหาเพื่อสร้างเกมตัวใหม่และเปิดให้ดาวน์โหลดผ่านบริการเพลย์สเตชั่น เน็ตเวิร์ค อาทิ flOw และ Everyday Shooter นอกจากนั้นยังมีสตูดิโอที่พัฒนาเกมใหม่สำหรับดาวน์โหลดโดยไม่จำกัดขนาดของไฟล์อีกด้วย เช่น PixelJunk Monsters , Toy Home , PAIN , Loco Roco Cocoreccho และเกมที่จะออกในเร็วๆนี้อย่าง Echochrome เท่านั้นยังไม่พอระบบเพลย์สเตชั่น เน็ตเวิร์คจะมีเกมที่ออกวางจำหน่ายตามร้านค้าปลีกให้ดาวน์โหลดอีกด้วย อาทิ Warhawk , SOCOM: Confrontation และ Gran Turismo 5 Prologue
 


3.คอนเท้นท์ที่มีให้ดาวน์โหลดเพิ่มเติมสำหรับเกมของโซนี่


เกม First party บนเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 ที่พัฒนาโดยโซนี่เอง มีคอนเท้นท์ให้ดาวน์โหลดเพิ่มเติมมากมายหลังจากที่เกมวางจำหน่าย เกมแนวแข่งรถอย่าง "Motorstorm" แม้ว่าจะออกวางจำหน่ายไปแล้ว 1 ปี แต่ก็ยังมีการอัพเดตอยู่เรื่อยๆในรูปแบบของสนามใหม่ หรือ รถคันใหม่ ทางด้านเกม Warhawk และ Resistance มีคอนเท้นท์ใหม่ให้อัพเดตและดาวน์โหลดได้ฟรี พร้อมด้วยแผนที่พิเศษที่สามารถใช้เงินซื้อได้ ปิดท้ายด้วยเกม Folklore มีแพคให้ดาวน์โหลดเพิ่มเติมถึง 9 แพค


 
 




4.จอยสั่นดูอัลช็อก 3



ดูอัลช็อก 3 กลับมาอีกครั้งในแบบสั่นได้บนเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 จอยตัวนี้ออกวางจำหน่ายแล้วที่ญี่ปุ่นเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา และจะเริ่มวางจำหน่ายที่อเมริกาในเดือนเมษายนนี้






5.ความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป


ปี 2007 ที่ผ่านมา โซนี่ได้ลดราคาเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 ลงมาอย่างน่าตกใจ จากการเริ่มต้นเปิดตัวที่จำหน่ายเครื่องในราคาสูงสุดอยู่ที่ 600 เหรียญสหรัฐ แต่แล้วสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปในปัจจุบันผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 สามารถใช้เงิน 400 เหรียญสหรัฐเพื่อเป็นเจ้าของเครื่องเกมตัวนี้ได้ นอกจากนั้นเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 ยังเป็นเครื่องเล่นบลูเรย์ที่มีราคาถูกที่สุด นอกจากนั้นภายในตัวเครื่องยังการันตีด้วยว่าจะมีฮาร์ดดิสให้อีก พร้อมด้วย built in wifi และ ระบบให้บริการออนไลน์แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ผู้บริโภคจะได้รับประสบการณ์จากเพลย์สเตชั่น 3 อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 


6.การอัพเดทเฟิร์มแวร์อย่างสม่ำเสมอ


โซนี่อัพเดตเฟิร์มแวร์ระบบของเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มเติมประสบการณ์ความสนุกให้กับผู้เล่น ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา มีการอัพเดทฟีเจอร์ใหม่ๆมากมาย ได้แก่ การรองรับ DivX , การดาวน์โหลดเกมเก่า , รีโมต สตาร์ท , Folding@Home, ธีม , Blu-Ray profile 1.1 , อัพสเกลดีวีดี และอื่นๆ




7.รีโมต เพลย์



ระบบรีโมต เพลย์ จะทำให้เจ้าของเครื่องเกมพกพา PSP สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 ได้แม้จะอยู่กันคนละห้อง(อยู่คนละประเทศก็เชื่อมต่อกันได้) เมื่อเครื่อง PSP ได้เชื่อมต่อกับเพลย์สเตชั่น 3 แล้ว คุณสามารถจะเปิดหรือปิดเครื่อง PS3 ได้จากทุกที่ผ่านการเชื่อมต่อไวไฟ ผู้เล่นสามารถใช้รีโมต เพลย์เข้าสู่ระบบเพลย์สเตชั่น เน็ตเวิร์ค(จะใช้ประโยชน์ได้ดีมากในการจัดลำดับการดาวน์โหลดต่างๆเวลาอยู่นอกบ้าน) นอกจากนั้นยังสามารถใช้เครื่อง PSP เล่นเกมจากเครื่อง PS3 ผ่านระบบสตีม แม้ขณะนี้มีเกมจำนวนน้อยที่รองรับรีโมต เพลย์ แต่ในอนาคตโซนี่ยืนยันว่าจะมีเกมรองรับเพิ่มเติมอย่างแน่นอน โดยหนึ่งในนั้นก็คือเกม "Bionic Commando Rearmed" จากค่ายแคปคอม


8.เมทัลเกียร์ 4



"Metal Gear Solid 4: Guns of the Patriots" จะลงเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 ในวันที่ 12 มิถุนายนนี้ แน่นอนว่าเจ้าของเครื่องเพลย์สเตชั่น 3 กำลังรอการมาของเกมนี้อยู่ และแฟนเกมซีรีส์เมทัลเกียร์ ก็คงจะไม่รีรอที่จะซื้อเครื่องเกมเพลย์สเตชั่น 3 เพื่อให้ได้เล่นเกมสุดโปรดที่รอคอยมาอย่างยาวนาน
 
9.ลิตเติลบิ๊กแพลเน็ต(LittleBigPlanet)


เกมลิตเติลบิ๊กแพลเน็ต เอาออกมาโชว์ครั้งแรกในงานประชุมผู้พัฒนาเกมปี 2006 และได้รับความสนใจอย่างมากแก่ผู้พบเห็น จากการให้อิสระในจินตนาการของผู้เล่น ฟีเจอร์ตัวละครแสนน่ารัก และระบบการเล่นใหม่ที่น่าสนใจ ในลิตเติลบิ๊กแพลเน็ต ผู้เล่นจะสามารถสร้างฉากเองได้ พร้อมกับอัพโหลดฉากแจกจ่ายให้ผู้อื่น นอกจากนั้นทางโซนี่ก็จะพัฒนาฉากใหม่ขึ้นมาควบคู่กับสร้างที่สร้างจากเกมเมอร์อีกด้วย เกมนี้กำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้
 
10.โฮม(Home)


โฮม เป็นที่พื้นที่ออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นบนเพลย์สเตชั่น 3 ภายในะจะมีมินิเกม , คอนเท้นท์พิเศษ และการเข้าสู่เกม มีบางคนบอกว่าระบบโฮม เป็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกับ Second Life ระหว่างช่วงเบต้าของระบบโฮมได้อัพเดทหลายสิ่งหลายอย่างเข้าไปมากมาย ด้วยการเพิ่มร้านค้า , ไอเท็มที่จะนำไปใช้ในโฮม รวมถึงอีกหลายๆฟีเจอร์ อย่าง ตู้เสื้อผ้า เมื่อระบบออนไลน์โฮม เปิดใช้อย่างเป็นทางการ เชื่อมั่นว่ามันจะคุ้มค่ากับการรอคอย

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553

การเลือกซื้อจอภาพ จอคอมพิวเตอร์ แบบ CRT Monitor ซีอาร์ที มอนิเตอร์ และ LCD Monitor แอลซีดี มอนิเตอร์


เมื่อกล่าวถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ สำหรับผู้ที่มีความรู้ทางด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ก็มักจะนึกถึงสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น CPU, Mainboard, RAM, VGA และอุปกรณ์ภายในต่างๆ ซึ่งมองดูว่ามีความสำคัญและเป็นตัวบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องได้ เป็นอย่างดี แต่ถ้าเราจะดูถึงสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ นั้นก็คือ "จอแสดงผล" ของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเอง เพราะตลอดการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกๆ เครื่อง จำเป็นต้องจ้องมองที่หน้าจออยู่ตลอดเวลา

เนื่องจากว่าการทำงานส่วนใหญ่ของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนั้นจำเป็นต้องอาศัยการแสดงผลในรูปแบบ ของกราฟิกอินเทอร์เฟส (Graphic Interface) ซึ่งเป็นรูปแบบการใช้งานที่ง่าย และสามารถที่จะทำการติดต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer) กับผู้ใช้งาน (User) ได้โดยตรง ซึ่งการ แสดงผลแบบนี้นิยมใช้งานกันเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับระบบปฏิบัติการต่างๆ (OS = Operating System) และโปรแกรมอื่นๆ อีกมากมายตาม ท้องตลาดทั่วไป ส่วนใหญ่จะใช้การแสดงผลแบบนี้ทั้งนั้น ซึ่งผู้ที่ต้องการที่จะใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นควร ที่จะคำนึงถึงความเหมาะสมกับการใช้งานจอ คอมพิวเตอร์ให้มากที่สุด เพราะที่กล่าวมาแล้วจะเห็นว่าจอนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องติดต่อหรือใช้งานโดยตรงจึงมีผล ทำให้มีผลกระทบกับร่างกายของผู้ใช้งานโดย ตรง ซึ่งผู้ที่จะเลือกซื้อก็ควรที่จะพิจารณาถึงข้อนี้มากๆ



ประเภทของ จอคอมพิวเตอร์

สำหรับจอของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนั้นมีมากมายหลายแบบถ้าจะกล่าวถึงตามลักษณะการทำงานกันจริงๆ ก็จะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทก็คือ จอแบบที่ใช้หลอดภาพในการแสดงผล หรือที่เรียกกันว่า Monitor หรือ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) ส่วนอีกประเภทนั้นก็คือ จอแบบที่ใช้การเรืองแสงของผลึกที่เรียกว่าจอ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) ซึ่งมีการทำงานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในส่วนของจอมอนิเตอร์นั้นก็สามารถที่จะแบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภทนั้นก็คือ จอธรรมดา หรือจอแบบ Shadow Mask ซึ่งจะมีลักษณะของหน้าจอที่โค้งเล็กน้อย ส่วนอีกประเภทคือ จอแบน หรือจอแบบ Trinitron ซึ่งจอแบบนี้จะมีหน้าจอที่แบนเรียบเป็นแนวตรง ซึ่งตามผู้ ผลิตจะเรียกเทคโนโลยีนี้แตกต่างกันออกไป และจะมีการทำงานหรือส่วนเพิ่มเติมที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย






การทำงานของ จอภาพ ในแบบต่างๆ






เพื่อเป็นการที่เราจะสามารถพิจารณาเพื่อจะเลือกซื้อจอของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้นั้นเราจำเป็นต้อง รู้จักพื้นฐานการทำงานของจอแต่ละแบบกันก่อนซึ่ง การทำงานนั้นจะแบบเป็น 2 ประเภทเป็นหลักนั้นก็คือ แบบที่ใช้หลอดภาพ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) กับผลึก LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) ซึ่งการทำงานต่างๆ จะมีดังนี้






สำหรับจอคอมพิวเตอร์แบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) นั้น ย่อมาจาก Cathode Ray Tube


ซึ่งการทำงานของจอประเภทนี้จะทำงานโดย อาศัยหลอดภาพ ที่สร้างภาพโดยการยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปยังที่ผิวหน้าจอ ที่มีสารพวกสารประกอบของฟอสฟอรัส ฉาบอยู่ที่ผิว ซึ่งจะเกิดภาพขึ้นมาเมื่อสารเหล่านี้เกิดการเรืองแสงขึ้นมา เมื่อมีอิเล็กตรอนมากระทบ ซึ่งในส่วยของจอแบบ Shadow Mask นั้น จะมีการนำโลหะที่มีรูเล็กๆ มาใช้ในการกำหนดให้แสงอิเล็กตรอนนั้นยิงมาได้ถูกต้อง และแม่นยำ ซึ่งระยะห่างระหว่างรูนี้เราเรียกกันว่า Dot Pitch ซึ่งในรูนี้จะมีสารประกอบของฟอสฟอรัสวางเรียงกันอยู่เป็น 3 จุด 3 มุม โดยแต่ละจุดจะเป็นสีของแม่สีนั้นก็คือ สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน



ซึ่งแต่ละจุดนี้เราเรียกว่า Triad ในส่วนของจอแบบ Trinitron นั้นจะมีการทำงานที่เหมือนกันแต่ต่างกันที่ ไม่ได้ใช้โลหะเป็นรูแต่จะใช้ โลหะที่เป็นเส้นเล็กๆ ขึงพาดไปตาม แนวตั้ง เพื่อที่จะให้อิเล็คตรอนนั้นตกกระทบกับผิวจอที่มีสารประกอบของฟอสฟอรัสได้มากขึ้น สำหรับจอ Trinitron ในปัจจุบันนี่ได้มีการพัฒนาให้มีความแบนราบมากขึ้นซึ่งจอแบบนี้จะเรียกกันว่า FD Trinitron (Flat Display Trinitron) ซึ่งมีมากมายในปัจจุบันและจะเข้ามาแทนที่จะแบบเดิมๆ อีกทั้งราคายังถูกลงเป็นอย่างมากด้วย







จอคอมพิวเตอร์แบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) หรือ Liquid Crystal Display



การทำงานนั้นจะไม่เหมือนกับจอแบบ CRT Monitor ซีอาร์ที มอนิเตอร์ แม้สักนิดเดียว ซึ่งการแสดงภาพนั้นจะซับซ้อนกว่ามาก การทำงานนั้นอาศัยหลักของการใช้ความร้อนที่ได้จากขดลวด มาทำการเปลี่ยนและ บังคับให้ผลึกเหลวแสดงสีต่างๆ ออกมาตามที่ต้องการซึ่งการแสดงสีนั้นจะเป็นไปตามที่กำหนด ไว้ตามมาตรฐานของแต่ละ บริษัท จึงทำให้จอแบบ LCD Monitor แอลซีดี มอนิเตอร์ มีขนาดที่บางกว่าจอ CRT Monitor อยู่มาก อีกทั้งยังกินไฟน้อยกว่า จึงทำให้ผู้ผลิตนำไปใช้งานกับ เครื่องคอมพิวเตอร์แบบเคลื่อนที่โน้ตบุ๊ค และเดสโน้ต ซึ่งทำให้เครื่องมีขนาดที่บางและเล็กสามารถพกพาไปได้สะดวก ในส่วนของการใช้งานกับเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป ก็มีซึ่งจอแบบ LCD Monitor นี้จะมีราคาที่แพงกว่าจอทั่วไปอยู่ประมาณ 2 เท่าของ ราคาในปัจจุบัน



สำหรับผู้ที่ต้องการที่จะเลือกซื้อจอคอมพิวเตอร์เมื่อไปตามสถานที่จำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วไปจะพบว่า มีจอคอวพิวเตอร์มากมายหลายรุ่น หลาย ยี่ห้อ ซึ่งทำให้การเลือกซื้อนั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบากจริงๆ โดยแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็จะมีการโปรโมตเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่ในสินค้าของตนเอง ซึ่งสิ่งที่ สำคัญๆ ที่เราจะสามารถดูได้ถึงประสิทธิภาพของจอคอมพิวเตอร์ และเป็นส่วนที่จะบอกถึงประสิทธิภาพในการใช้งานนั้นมีอยู่เหมือนกันไม่กี่อย่าง ซึ่งอย่างน้อย ก็ทำให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อนั้น สามารถได้เลือกจอคอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพได้ตามความต้องการ โดยรายเอียดของจอคอมพิวเตอร์นั้นจะมีได้ดังนี้ คือ


Dot Pitch
หรือระยะห่างระหว่างรูของช่องโลหะทั้งแบบ Shadow Mask และ Trinitron ซึ่งปกติแล้วจะมีการวัดระยะห่างกันเป็น มิลลิเมตร (mm) โดยค่า ของ Dot Pitch นี้จะส่งผลต่อการปรับความละเอียดของ จอภาพ หรือ Resolution ซึ่งจอภาพในปัจจุบันนั้นจะมีระยะห่างของ Dot Pitch นี้อยู่ที่ประมาณ 0.28-0.22 ซึ่งยิ่งมีความห่างของ Dot Pitch นี้น้อยเท่าไรก็ยิ่งทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัดมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งจอที่มีขนาดใหญ่ๆ อย่าง 19-21 นิ้วนั้น จำเป็นต้องมีระยะห่างน้อยลงเพื่อที่จะสามารถแสดงความละเอียดได้สูงๆ อย่าง 1600X1200 ซึ่งจะทำให้ภาพที่ได้มีขนาดพอดีและดูสบายตา เพราะว่าการใช้ ระดับความละเอียดที่ต่ำกับจอภาพขนาดใหญ่ๆ จะทำให้ภาพที่ได้มีขนาดใหญ่ตาม และมีความชัดเจนต่ำจึงทำให้ใช้ความพยายามเพ่งสายตามองมากขึ้นทำให้ เกิดผลเสียกับสายตาได้

Refresh Rate
หรือ ความถี่ในการแสดงภาพ ซึ่งในการทำงานของจอภาพนั้นสามารถแสดงผลได้โดยการใช้การเรืองแสงของสารประกอบฟอสฟอรัสที่ฉาบอยู่บน จอภาพ โดยสารนี้จะเรืองแสงเมื่อมีการยิงอิเล็คตรอนมาตกกระทบ โดยสารจะไม่มีการเรืองแสงอยู่ตลอดเวลา จึงต้องอาศัยการยิงลำแสงซ้ำที่เดิมบ่อยๆ โดยการยิง ลำแสงนั้นจะยิงไล่กวาดจากซ้ายบนไปทางขวา แล้วกลับมาเริ่มต้นที่ด้านซ้ายของแถวใหม่ จนเมื่อถึงขวาล่างแล้วจะทำการทบกลับมาที่ซ้ายบนใหม่ โดยจะทำวน แบบนี้ไปเรื่อยๆ จึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของภาพเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาโดยการยิงลำแสงอิเล็คตรอนนี้เรียกว่า Raster Scan โดยที่อัตรา Refresh Rate นี้คืออัตราความถี่ของการยิงลำแสงอิเล็คตรอนจากมุมซ้ายบนสุดไปจนถึงมุมขวาล่าง หรือครบทั้งหน้าจอว่าสามารถทำการยิงได้กี่รอบใน 1 วินาที ซึ่งเรียกว่า Vertical Refresh Rate ซึ่งที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า Refresh Rate นั้นเอง ในส่วนของการเลือกซื้อนั้น เราจำเป็นต้องเลือกที่อัตรา Refresh Rate ที่สูงเนื่องจากว่าอัตรา Refresh Rate สูงๆ นั้นจะทำให้การให้ภาพนั้นมีความนิ่งไม่สั่นไหว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับขนาดของจอมอนิเตอร์ ว่ามีขนาดเท่าใด ซึ่งยิ่งมีขนาดใหญ่อัตรา Refresh Rate ควรมีอัตราที่สูงพอสมควรเพราะจำเป็นต้องใช้ ความละเอียด หรือ Resolution ที่สูง โดยอัตรา ที่จะทำให้เกิดความสบายตา หรือมีความนิ่งของภาพนั้นควรที่จะอยู่ที่ประมาณ 65-75Hz โดยอัตรา Refresh Rate จะมีผลต่อสายตาเราโดยตรงอย่างมาก ซึ่งถ้าอัตรา Refresh Rate ที่ต่ำจะทำให้ภาพที่ได้นั้นมีอาการสั่น กระพริบ ทำให้เกิดผลเสียกับสายตาได้อย่างมาก

อัตรา Refresh Rate ควรจะเป็นที่ 70 Hz

Resolution
หรือความละเอียดของหน้า จอภาพ โดยเป็นความละเอียดในการแสดงผลภาพต่อ พิกเซล (Pixels) ซึ่งยิ่งสามารถแสดงในความละเอียดที่สูงขึ้นจะทำให้ ภาพมีขนาดเล็กลงเพราะว่า ในแต่ละระดับความละเอียดจะบ่งบอกถึงขนาดในการแสดงผลในระดับกว้าง X ยาว กล่าวคือ ความละเอียด 800X600 จะสามารถ แสดงความละเอียดที่ 800 พิกเซลตามความกว้างแนวนอนของจอภาพ และ600พิกเซลในความยาวแนวตั้งของจอภาพ ซึ่งในความละเอียดสูงก็จะทำให้มีพื้นที่ใน การแสดงผลที่มากขึ้น ในส่วนของความละเอียดของหน้าจอนี้ควรที่จะสามารถปรับระดับความละเอียดที่เหมาะสมกับการทำงาน และขนาดของจอภาพ ซึ่งจอแต่ ละขนาดจะมีขีดจำกัดในการแสดงความละเอียดเช่น จอขนาด 15นิ้ว จะสามารถแสดงได้สูงสุดที่ 1024X768 พิกเซล โดยจอที่มีคุณภาพจะสามารถที่จะปรับ ความละเอียดได้มากๆ โดยความละเอียดที่จะมีผลกับอัตรา Refresh Rate ของแต่ละจอซึ่งแตกต่างกันออกไป





Size
หรือขนาดของหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งเราจะสามารถได้คราวๆ โดยการวัดขนาดจากมุมบนด้านใดด้านหนึ่งมายังมุมล่างอีกด้าน เช่นถ้าเราต้องการ วัดจากมุมซ้ายบน ก็ต้องมาจบที่มุมขวาล่าง ซึ่งขนาดจะไม่มีการกำหนดที่แต่นอนในแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ ซึ่งขนาดของจอคอมพิวเตอร์จะมีขนาดตั้งแต่ 14นิ้ว, 15นิ้ว, 17นิ้ว, 21นิ้ว และขนาดที่ใหญ่กว่านั้นซึ่งการใช้งานและเลือกซื้อควรที่จะให้เหมาะสมกับการทำงานเช่น การทำงานด้านเอกสารหรือ ใช้พิมพ์งานควรที่ จะใช้ขนาดประมาณ 14 -15 นิ้ว เพราะถ้าใหญ่กว่านั้นจะทำให้ตัวหนังสือมีขนาดใหญ่ทำให้ต้องเพิ่งมากเสียสุขภาพของสายตา และการทำงานทางด้านกราฟิก หรือเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์นั้นควรที่จะใช้ขนาด 17-25 นิ้ว เพราะจำเป็นต้องใช้ความละเอียดในระดับสูงในการแสดงผลเพื่อให้มองเห็นองค์ประกอบของภาพ อย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งขนาดของจอภาพนั้น อาจจะสามารถเลือกได้แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคลอีกด้วย




ในส่วนของรายละเอียดต่างๆ ที่นอกจากนี้คือ ดีไซด์ของจอภาพ และฟังก์ชั่นต่างๆในการทำงานซึ่งส่วยใหญ่นั้นมักจะขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานซึ่งแต่ละคนจะ มีรสนิยมและสไตล์ในการใช้งานที่แต่ต่างกันออกไป ซึ่งจอคอมพิวเตอร์แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อนั้นก็จะมีการออกแบบมาแตกต่างกันออกไป เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อ ได้ตามความต้องการ ซึ่งส่วนที่สำคัญหลักก็จะมีดังที่กล่าวมาแล้วคือ Dot Pitch (ระยะห่างของจุด), Refresh Rate (ความถี่ในการแสดงผล), Reso -- lution (ความละเอียดของภาพ) และSize (ขนาดของจอภาพ) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งในการเลือกซื้อ
เทคโนโลยีใหม่ๆ ของจอคอมพิวเตอร์ ในส่วนของเทคโนโลยีของจอนั้นแต่ละผู้ผลิตจะมีการนำเอาเทคโนโลยีที่พัฒนามาใช้งานในโปรโมตสินค้าของตนเอง ซึ่งแต่ผู้ผลิตจะมีเทคโนโลยีที่ เรียกแตกต่างกันออกไปโดยอาศัยหลักในการประยุกต์เทคโนโลยีต่างๆ ไว้ด้วยกัน ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ ของจอภาพเช่น




เทคโนโลยี LightFrame 2 ของ Philips ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผสานประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์และซอร์ฟแวร์ไว้ด้วยกัน โดยการทำงานในรูปแบบ Automatic Object Detection For Internet Browsing ซึ่งจะทำหน้าที่ในการตรวจสอบจากการใช้งานอินเตอร์เน็ตว่ามีไฟล์รูปภาพหรือวิดีโอหรือไม่ ซึ่งถ้ามีก็จะทำการปรับความคมชัดในส่วยเฉพาะรูปหรือภาพวิดีโอให้มีความสว่างคมชัดขึ้น และยังสนับสนุนการทำงานเกี่ยวกับการชมภาพยนตร์ และเล่นเกมส์ อีกด้วย


เทคโนโลยี ICE ของ Philips เป็นเทคโนโลยีในการกำจัดเคลื่อนรบกวนทางแม่เหล็กเพื่อให้ยังคงรักษาระดับแสงของเฉดสีไว้ได้ดังเดิม ซึ่งเป็น เทคโนโลยี เฉพาะของ Philips เท่านั้น

เทคโนโลยี MagicBright ของ Samsung เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้จอภาพสามารถให้แสงสว่างสูง
ถึงขีดระดับ 330cd/m2 พร้อมทั้งยัง สามารถใช้งานโหมดต่างๆ ในการปรับระดับของแสงให้สามารถใช้งานได้ตามความเหมาะสมเพื่อเป็นการรักษาสายตา




เทคโนโลยี Digital Dynamic Convergence ของ Sony จะช่วยให้ได้จอภาพที่มีลักษณะการรวมกันของอิเล็dตรอน 3 ลำพอดีทุกจุดไม่ว่าจะ เป็นกลางจอหรือว่าริมของจอภาพก็ตามซึ่งการปรับคอนเวอร์เจ็นต์แบบไดนามิกนั้นทำให้ได้ภาพที่สีอิ่มตัวตลอดทั้งจอภาพ เพราะ Digital Convergence นั้นช่วยลดการเหลื่อมของลำอิเล็กตรอนจากเดิมที่ยอมให้ลำอิเล็คตรอนที่มุมผิดได้ 4 มม.ก็ลดลงมาเหลือ 3.5 มม. ทำให้การเกิดสีเหลื่อม (Misconvergence) ที่บริเวณมุมและขอบจอลดลงไป






เทคโนโลยี Flatron ของ LG ซึ่งจริงๆ เทคโนโลยี Flatron คือ การใช้หลอดภาพดำที่เรียกว่าแบบ Black Trinitron แต่ชื่อ ไตรนิตรอน (Trinitron) ถูกจดลิขสิทธิ์โดยบริษัท SONY ซึ่งในส่วนของเทคโนโลยี Flatron นั้นจะดีลักษณะที่ดีกว่า Trinitron ของ Sony คือมีลักษณที่เรียกว่าแบน "อย่างธรรมชาติ" หรือ "Natural Flat" ซึ่งทำให้การมอง และใช้งานนั้นดูสบายตามีสีที่สดใส อีกทั้งจอที่ดำสนิททำให้การให้แสงนั้นมีคุณภาพคมชัด อีก ทั้งจอยังเคลือบด้วย W-ARAS ที่ป้องกันการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งเป็นอันตรายและจอภาพที่ปราศจากความโค้งใดๆ นอกจากนี้ FLATRON ยังมี Flat Tension Mask ซึ่งแอลจี อีเลคทรอนิคส์ ได้พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ ดังนั้น FLATRON จึงให้ภาพที่สมจริงมาก



การเลือกใช้จอ LCD Monitor สำหรับจอแบบ แอลซีดี มอนิเตอร์ นั้น จากการทำงานของมันแล้วจะรู้ได้ว่าจอแบบ LCD Monitor นั้น สามารถที่จะช่วยในการลดอัตรา เสี่ยงที่สายตาเราจะรับรังสีที่แผ่ ออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพราะจอแบบ แอลซีดี มอนิเตอร์ นั้นในหลักการในการใช้ความร้อนของขดลวดในการทำให้ผลึกเหลวแสดงภาพออกมา จึงทำให้จอ LCD Monitor นี้สามารถที่จะถนอมสายตาได้ อีกทั้งแสงสว่างที่ได้จะไม่สั่นไหวเหมือนจอแบบที่ใช้หลอดภาพ เพราะจอแบบ แอลซีดี มอนิเตอร์ นั้นไม่จำเป็นต้องทำการยิงแสง อิเล็กตรอน เหมือนจอแบบหลอดภาพ นั้นก็เป็นข้อดีของจอแบบ LCD Monitor และข้อดีอีกอย่าง คือขนาดที่เบาและบางทำให้มีเนื้อที่บนโต๊ะทำงานเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังใช้พลังงานไฟฟ้า น้อยกว่าทำให้สามารถประหยัดไฟฟ้าไปได้มาก ส่วนของข้อเสียนั้นก็คือ ราคาเพราะราคานั้นจะสูงกว่าจอแบบอื่นๆ แต่ในตอนนี้นั้นราคาได้ลดลงมามาก อยู่ที่ ประมาณ หมื่นต้นๆ ของจอขนาด 15นิ้ว ซึ่งจอ LCD Monitor นี้ก็เป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีงบในการเลือกซื้อเพราะดูจากข้อดีแล้วซึ่งจะคุ้มค่ามากเมื่อเทียบ กับเงินที่จะ สูญเสียไป

เมื่อเราทำความเข้าใจถึงหลักการทำงานของจอคอมพิวเตอร์แล้ว ทำให้ผู้ที่จะเลือกซื้อนั้นสามารถที่จะเลือกซื้อจอได้ตรงความต้องการในส่วนของ การเลือกซื้อนั้น อย่างที่กล่าวไว้ว่าการใช้งานจอคอมพิวเตอร์นั้นจะขึ้นอยู่กับความพอใจ และความถนัดของผู้ใช้งานเป็นหลัก ซึ่งการเลือกซื้อที่จะแนะนำได้นั้นคือ การเลือกให้เหมาะสมกับการทำงาน และเพื่อที่รักษาถนอมสายตาของผู้ใช้จึงควรที่จะเลือกซื้อจอที่มีคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานมีระของขนาด ความละเอียด และการให้แสงที่เหมาะสมกับงาน เมื่อผู้ที่ต้องการจะซื้อนั้นได้จอคอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพมาใช้งานแล้วนั้น จะทำให้การทำงานเป็นไปได้อย่างราบรื่น และไม่เสีย สุขภาพด้วย ดังนั้นจอคอมพิวเตอร์จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะมองข้ามในการเลือกซื้อไปได้เลยนะครับ
อย่างที่กล่าวมาจอภาพแบบ LCD Monitor นั้นมีการทำงานที่แตกต่างจากจอภาพแบบ CRT Monitor นั้นก็เพราะว่าเทคโนโลยีของจอภาพแบบ แอลซีดี มอนิเตอร์ หรือ Liquid Crystal Display ซึ่งเป็นจอภาพที่เป็นการแสดงภาพแบบดิจิตอล (Digital) โดยภาพที่ได้นั้นเกิดจากการปรากฎ ขึ้นจากแสงที่ปล่อยออกมาจากหลอดไฟ ด้านหลังของจอภาพ (Back light) และแสงนั้นก็จะผ่านชั้นกรองแสง (Polarized filter) แล้วแสงนั้นก็จะทำการผ่านต่อไปยังชั้นที่ผลึกคริสตัลเหลวที่เรียง ตัวกันเป็น 3 เซลล์ด้วยกัน นั้นคือ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำเงิน โดยแสงที่ได้นั้นจะกลายเป็นแต่ล่ะพิกเซล (Pixel) และรวมกันจนกลายเป็นภาพที่ได้ ออกมาทางหน้าจอ โดยจอภาพแบบ LCD Monitor นั้นได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนสามารถที่จะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทนั้นคือ






จอภาพที่ใช้เทคโนโลยี STN (Super-Twisted Nematic) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ให้ความคมชัด และแสงสว่างไม่มากนักจึงทำให้นิยมนำไปใช้งานกับอุปกรณ์ประเภทเคลื่อนที่ขนาดเล็กๆ อย่างโทรศัพท์มือถือ เกมเคลื่อนที่ หรือจอภาพของ Palm ที่เป็นแบบขาวดำ




จอภาพที่ใช้เทคโนโลยี TFT (Thin Film Transistor) เป็นเทคโนโลยีที่นิยมนำมาใช้งานทั้งจอของเครื่องโน๊ตบุ๊ค (Notebook) และจอภาพที่นำมาใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปเป็นอย่างมากเนื่อง จอากว่าภาพที่ได้จากเทคโนโลยีนี้นั้นจะมีความคมชัด และแสงสว่างกว่าแบบแรกเป็นอย่างมาก






เมื่อได้รู้ถึงเทคโนโลยีในการแสงภาพของจอภาพแบบ แอลซีดี มอนิเตอร์ กันแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าจอภาพแบบ LCD Monitor นั้นมีขั้นตอนในการแสดงภาพที่แตกต่างจาก จอภาพ แบบ CRT Monitor อย่างเห็นได้ชัดสำหรับการเลือกซื้อที่สามารถจะเลือกซื้อจอภาพที่ได้อย่างถูกต้องนั้นก็จะมีหลายวิธีที่จะสามารถที่จะพิจารณาในการเลือกซื้อ จอภาพ แบบ LCD Monitor ได้เป็นอย่างดี โดยขั้นตอนนี้ก็จะมีดังต่อไปนี้




เลือกขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งาน ในการใช้งานจอภาพนั้นจำเป็นจะต้องเลือกใช้งานขนาดของจอภาพให้เหมาะสมกับงานเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะได้ช่วยให้การทำงานนั้นมี ประสิทธิ -ภาพมายิ่งขึ้น อย่างเช่นการทำงานที่เกี่ยวกับงานเอกสารนั้น ก็สามารถที่จะเลือกซื้อจอที่มีขนาดตังแต่ 14"-17" ได้ แต่ถ้าจะใช้จอภาพที่มีขนาดใหญ่ไปกว่านี้ ก็จำเป็นต้องปรับขนาดของตัวหนังสือให้เล็กลงเพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ก้อาจจะทำให้เกิดอาการปวดตาขึ้นมาดได้เพราะตัวหนังสือที่แสดงมีขนาดใหญ่จนเกินไป




สำหรับการทำงานทางด้านการออกแบบกราฟิก ตกแต่งรูปภาพ การใช้จอภาพที่มีขนาดใหญ่อย่าง 17", 19" และ 21" นั้นก็จะช่วยให้การทำงาน นั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพราะการทำงานแบบนี้จะเป็นต้องใช้ความละเอียด และการมองภาพ และวัตถุบนจอภาพที่มากกว่าการทำงานปกติเป็นอย่างมาก และสำหรับผู้ที่ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อความบันเทิงนั้น สามารถที่จะเลือกใช้งานจอภาพได้ตามความเหมาะสมกับงบที่มีอยู่ โดยน่าจะเริ่มใช้งานที่ 17" ขึ้นไป เนื่องจากว่าการใช้งานจอภาพขนาด 15" นั้นดูเหมือนจะไม่เพียงพอกับการใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม และชมภาพยนตร์ แต่สิ่งที่สำคัญนั้นคือจอภาพ แบบ แอลซีดี มอนิเตอร์ นั้นที่มีขนาดใหญ่นั้นราคายังคงแพงอยู่เป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อคิดจะเลือกซื้อนั้นให้คำนึงถึงความเหมาะสม และงบให้เป็นอย่างมาก




ในส่วนของเรื่องความละเอียดของจอภาพแบบ LCD Monitor นั้น จะมีจำนวนของ Pixel ที่แน่นอน ซึ่งแตกต่างจากจอภาพแบบ CRT Monitor ที่มีจำนวนของ Dot Pitch ที่ไม่แน่นอน และสามารถที่จะปรับความลพเอียดได้หลายค่า ขึ้นอยู่กับแต่ละเทคโนโลยี แต่สำหรับจอภาพแบบ แอลซีดี มอนิเตอร์ นั้น แม้จอภาพจะใช้เทคโนโลยีที่แตก ต่างกันแต่ความละเอียดสูงสุดของจอภาพก็จะเท่ากันเสมอ เช่น จอภาพขนาด 15" นั้นก็จะมีความละเอียดสูงสุดที่ 1024x768 เท่ากัน และจอภาพขนาด 17" นั้นก็จะมีความละเอียดสูงสุดที่ 1240x1024 เท่ากันอีกเช่นกัน จะเห็นได้ว่าจอภาพที่มีขนาดใหญ่ก็จะมีค่าความละเอียดของภาพสูงขึ้นตามลำดับ นี้ก็เป็นอีก ข้อหนึ่งที่น่าสังเกตในการเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD Monitor




ค่าของ Dot Pitch สำหรับค่าระยะห่างของจุดภาพนั้น อย่างที่กล่าวมากข้างต้นนั้นจอภาพแบบ แอลซีดี มอนิเตอร์ อาศัยหลักการเรืองแสงของผลึกเหลว ดังนั้นค่าระยะห่างของจุด ภาพนั้น จึงมักจะเท่าๆ กันเสมอในทุกๆ เทคโนโลยีที่จอภาพมีการใช้งาน ซึ่งในส่วนนี้นั้นก็มักจะมีบ้างผู้ผลิตที่สามารถจะทำการปรับเปลี่ยนระยะให้มีขนาดเล็กลง ได้บ้างเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่ายิ่งค่าของ Dot Pitch มีขนาดเล็กลงความละเอียด และความคมชัดของภาพ ก็มักจะมีมากขึ้นตามไปด้วย สำหรับจอภาพ ขนาด 15" นั้นส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีค่าของ Dot Pitch ที่ 0.297 มิลลิเมตร สำหรับจอภาพนาด 17" นั้นก็จะมีค่า 0.264 มิลลิเมตร ซึ่งจอภาพบ้างจออาจจะ มีค่าที่แตกต่างไป แต่ค่าของ Doit Pitch ที่ให้ไว้นั้นเป็นมาตรฐานทของจอภาพแบบ LCD Monitor แอลซีดี มอนิเตอร์ เป็นส่วนใหญ่






จำนวนของเม็ดสี (Bit Depth) สำหรับค่าของ Bit Depth นั้นเป็นค่าตัวเลข ที่จะบอกถึงความสามารถในการแสดงของจำนวนเม็ดสีที่ จอภาพ สามารถที่จะแสดงได้ โดยค่าตัวเลข ดังกล่าวจะอยู่ในรูปของตัวเลขในรูปแบบดิจิตอล คือ 8 bit, 16 bit และ 24 bit วึ่งยิ่งค่าของ Bit Depth ยิ่งมาก สีที่แสดงออกมาก็จะยิ่งมากขึ้นตาม นั้นคือถ้า เป็นแบบ 8 bit สีที่ได้ ก็คือ ตัวเลขฐาน 2 คูณกัน 8 ครั้ง นั้นคือ 2x2x2x2x2x2x2x2 ก็จะเท่ากับ 256 สี และถ้าหากเป็นแบบ 16 bit แล้ว สีที่ได้ก็จะมีจำนวน 65,536 สี ซึ่งเป็นค่าที่เพียงพอสำหรับการแสดงภาพถ่าย และภาพ 3 มิติ ทั่วไป ถ้าถ้าจะให้ดี และสีที่แสดงออกมาไม่มีผิดเพี้ยน และได้สีที่ครบถ้วนนั้น ก็ควรที่ จะใช้งานที่ระดับ Bit Depth มากว่า 16 bit ขึ้นไป




สำหรับสิ่งที่กล่าวมากใน 4 ข้อแรกนั้นเป็นวิธีในการที่จะดูถึงความสามารถของจอภาพ ซึ่งทั้ง 4 ข้อนั้นสามารถที่จะใช้รวมกับการเลือกซื้อจอภาพแบบ CRT Monitor ได้เหมือนกัน เนื่องจากว่าทั้ง แอลซีดี มอนิเตอร์ และ ซีอาร์ที มอนิเตอร์ จะมีละเอียดในการเลือกซื้อเหมือนกันทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมา ซึ่งต่อไปจะเป็นการกล่าวถึงวิธีการเลือกซื้อที่มี เฉพาะในจอภาพแบบ LCD Monitor เท่านั้น แต่ในบ้างครั้งก็จะมีปรากฏในรายละเอียดทางด้านเทคโนโลยีของ CRT Monitor แต่ก็ไม่สามารถที่จะเป็นสิ่งชี้ชัดในการเลือกซื้อได้ เพราะค่าดังกล่าวมักจะเท่าๆ กันเกือบทั้งหมด




สำหรับค่าของ Viewing Angle นี้เป็นค่าของมุมในการแสดงภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ในเฉพาะจอภาพแบบ LCD Monitor เท่านั้น เพราะจอภาพแบบ แอลซีดี มอนิเตอร์ ดันมักจะมีการสะท้อนของแสงสีขาวที่ออกมาจากจอภาพ ทำให้ภาพที่ได้นั้นพร่ามัว และสีของภาพจะไม่ชัดเจนไม่เหมือนจริง ซึ่งในจอภาพในแต่ละรุ่นจะมีค่านี้ เป็น องศา นั้นคือ มุมที่สามารถมองเฉียงออกจากกลางจอภาพได้เป็นระยะกี่องศา ทั้ง 4 ด้าน โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ทิศทาง เป็นแนวตั้ง คือ มองจากด้านบน และ ด้านล่าง แนวนอน คือ ด้านซ้าย และด้านขวา โดยที่ค่านี้ยิ่งมากเท่าไร มุมมองที่สามารถจะแสดงแล้วภาพไม่พร่ามัว ก็จะยิ่งมากตามขึ้นไปด้วย







นี่รูปแบบของมุมในการสะท้อนของแสง และมุมที่จะได้รับภาพชัดเจน ค่าความสว่างของ จอภาพ ที่ดีนั้น ควรที่จะมีความสว่างที่เพียงพอกับการใช้งานในระดับปกติ แต่ถ้าจอภาพนั้นมีแสงสว่างมากจนเกินไปก็จะทำให้แสงสัขาวมีมากเกิดไป ทำให้ภาพนั้นดูซีด และไม่เป็นผลดีกับสายตาอย่างแน่นอน ซึ่งค่านี้สามารถที่จะดูได้ที่ค่า Contrast Ratio ซึ่งเป็นค่าของอัตราส่วนระหว่างความสว่างของ แสงสีขาว กับ ความคมชัดของ แสงสีดำ โดยในบ้างครั้ง ค่าเหล่านี้มักจะไม่มีผลกับการเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD Monitor แอลซีดี มอนิเตอร์ มากนัก เพราะเนื่องจากว่าผู้ซื้อส่วนใหญ่แล้ว มักจะตักสินใจเลือกซื้อจอภาพที่ให้แสงสว่างได้เหมาะสมกับผู้ใช้เป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือในการเลือกซื้อนั้นผู้ซื้อควรที่จะทำการทดสอบใช้งานด้วยสายตาตนเอง จะเป็นดีที่สุด เพราะว่าความเหมาะสมกับแสงสว่างที่ใช้งานในสายตาของคนแต่ล่ะคนย่อมที่จะแตกต่างกันออกไป การทดสอบด้วยตาตนเองจะเป็นการดีที่สุด


ความเร็วในการตอบสนองนั้น เราสามารถที่จะวัดได้จาดค่า Response time ซึ่งเป็นค่าที่จะทำการวัดช่วงระยะเวลาที่ภาพสามารถตอบสนอง และแสดงเป็นภาพได้ โดยจะมีหน่วยเป็น มิลลิวินาที ซึ่งค่านี้ยิ่งน้อยเท่าไร ก็แสดงว่าจอภาพนั้นสามารถที่จะแสดงภาพได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยค่านี้จะไม่มีผลกับ ผู้ที่ทำงานทางด้านเอกสารทั่วไป แต่จะเห็นผลกับผู้ที่ใช้งานจอภาพในด้านการแสดงภาพ วิดีโอ การทำงานทางด้านกราฟิกต่าง รวมทั้งการเล่นเกม เพราะถ้าค่านี้ ยิ่งน้อยเท่าไร อาการที่จะกระตุกของภาพระหว่างการแสดงภาพยิ่งลดน้อยลง

ช่องต่อแบบ อนาล็อก (Analog) และแบบ ดิจิตอล (Digital) โดยทั่วไปแล้วจอภาพนั้นจะทำการรับข้อมูลที่จะนำมาแสดงภาพจากตัวกราฟิกการ์ด ที่มีการเก็บข้อมูลดังกล่าวไว้ในหน่วยความจำ ทั้งแบบ Frame Buffer หรือ Video RAM ซึ่งข้อมูลที่เก็บไว้นั้นจะอยู่ในรูปแบบของข้อมูลดิจิตอล ซึ่งในการส่งข้อมูลทั่วไป โดยผ่านทางพอร์ตแบบ VGA หรือที่เรียกอีกอย่าง ว่าพอร์ด D-Sub 15 pin นั้นกราฟิกการ์ดจะทำการแปลงสัญญาณข้อมูลที่เป็นดิจิตอล ให้เป็นสัญญาณแบบอนาล็อก แล้วจึงค่อยส่งสัญญาณข้อมูลออกมาทาง สายสัญญาณ โดยที่สัญญาณนั้นจะมีการแบ่งเป็นสัญญาณของแต่ละแม่สี นั้นคือ สีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว ซึ่งจะต่างจากการส่งสัญญาณของโทรทัศน์ทั่วไปที่ จะส่งรวมกันมา จึงเป็นเหตุผลที่ว่าจอภาพที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์นั้นจะมีคุณภาพของภาพสูงกว่าเป็ยอย่างมาก แต่การส่งสัญญาณแบบนี้นั้นก็ยังทำให้คุณภาพ ของภาพนั้นเสียไป ในขั้นตอนการแปลงสัญญาณจากดิจิตอล เป็นอนาล็อก ถึงแม้ในขั้นตอนการแปลงจะใช้เวลาไม่นอน แต่ก็เพียงพอที่จะเป็นเพิ่มเวลาในการแสดง ภาพมากขึ้น ในขณะที่คุณภาพลดลง ดังนั้นจึงได้มีพอร์ตแบบ ดิจิตอล หรือ DVI (Digital Video Interface) โดยเทคโนโลยี DVI นั้นจะเป็นการนำเอาข้อมูล ที่อยู่ในรูปแบบดิจิตอลที่อยูในหน่วยความจำของกราฟิกการ์ด มาแสดงบนจอภาพเลย โดยไม่มีการแปลงสัญญาณ จึงทำให้สัญญาณภาพนั้นมีคุณภาพ และความ เร็วมากขึ้น โดยการเลือกซื้อนั้น ก็จำเป็นต้องอาศัยกราฟิกการ์ดที่มีพอร์ตแบบ DVI ไว้ให้ใช้งาน และที่ตัวจอภาพก็จำเป็นต้องมีพอร์ตแบบ DVI ติดตั้งอยู่เหมือน กัน จึงจะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ



ที่จอภาพที่มีช่อต่อทั้งแบบ D-Sub 15pinและแบบ DVI

จึงสามารถที่จะใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

















ช่องต่อแบบ D-Sub 15pin และแบบ DVI ที่อยู่บนกราฟิกการ์ด



ระบบการจ่ายพลังงานไฟฟ้า
เนื่องจากจอภาพแบบ LCD Monitor นั้นเป็นจอภาพที่ขึ้นชื่อในด้านการประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี ดังนั้นระบบการจ่ายไฟฟ้าจึงมีส่วนสำคัญ และ แต่แตกต่างจากจอภาพแบบ CRT Monitor ซีอาร์ที มอนิเตอร์ เล็กน้อยตรงที่จอภาพแบบ LCD Monitor นั้นจะมีตัวแปลงกระแสไฟฟ้าทั้งแบบ ด้านใน (Internal) และแบบด้านนอก (External) ซึ่งจอภาพแบบ แอลซีดี มอนิเตอร์ ที่มีตัวแปลงกระแสไฟฟ้าแบบภายใน และภายนอกนั้นก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง โดยแบบภายในนั้นข้อดีก็คือ การติดตัง และเวลาเคลื่อนย้ายไฟใช้งานที่อื่นสามารถที่จะยกไปใช้งาน และติดตั้งได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องนำอุปกรณ์อื่นๆ ไปด้วย


สำหรับข้อเสีย
คือเรื่องของความหนาในส่วนของด้านหลังของจอภาพ ซึ่งจะเป็นต้องเพิ่มเนื้อที่ในการติดตั้งในส่วนของตัวแปลงกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และข้อเสียอีกข้อหนึ่งคือเรื่องของความร้อนที่เกิดขึ้น เพราะตัวแปลงกระแสไฟฟ้า สำหรับจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) ที่มีตัวแปลงกระแสไฟฟ้าด้านนอกนั้นข้อดีก็คือ จอภาพจะมีความแบน และบางเป็นอย่างมาก และจะมีน้ำหนังที่เบา ความร้อนที่เกิดขึ้นในระหว่างใช้งานจะมีไม่มาก เนื่องจากนำส่วนการแปลงกระแสไฟฟ้าออก ไปไว้ข้างนอก ข้อเสียนั้นคือ การติดตั้ง และการเคลื่อนย้ายเป็นไปได้ลำบาก เนื่องจากจำเป็นต้องนำเอาตัวแปลงกระแสไฟฟ้าที่แยกออกมาก นำไปติดตั้งด้วยทุกครั้ง และตัวแปลงกระแสไฟฟ้าของจอภาพแบบละรุ่นมักจะแตกต่างกันจึงไม่สามารถที่จะใช้งานร่วมกันได้ เพราะถ้าค่าของกระแสไฟฟ้าผิดจากที่ใช้ปกติ อาจจะทำ ให้เกิดความเสียหายขึ้นกับจอได้นั้นก็เป็นข้อสังเกตในการเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) ซึ่งเป็นข้อสังเกตที่สามารถที่จะทำการดูได้จากข้อมูลทางเทคนิค (Specification) ของจอในแต่ละรุ่นเพื่อที่จะทำการตัดสินใจเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) มาใช้งาน เพื่อให้ได้จอภาพที่เหมาะสมกับการใช้งาน และเหมาะกับตัว ผู้ใช้งานมากที่สุด โดยในแต่ละข้อนั้นก็สามารถที่จะนำไปประยุกต์ในการเลือกซื้อจอภาพแบบอื่นๆ ได้อีก สำหรับข้อแตกระหว่างจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) กับ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นก็สามารถที่จะทำการสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

รูปร่าง และน้ำหนัก:
 จอภาพ แบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นจะมีความบาง และแบนกว่าจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) เป้นอย่างมากนั้นเป็นเพราะเทคโนโลยีในการแสดงภาพที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นข้อดีที่ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นได้เปรียบจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) อยู่มากอีกทั้งด้วยความบาง และแบนของจอ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) จึงทำให้น้ำหนักนั้นเบากว่าจอ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) เป็นอย่าง มาก การเคลื่อนย้ายจึงสามารถทำได้ง่ายกว่า

พื้นที่ในการแสดงผล:
ในบางครั้งหลายๆ ท่านจะสังเกตเห็นได้ว่าจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นถึงแม้จะมีขนาดเท่ากับจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) มักจะมีพื้นที่ในการแสดงภาพมากกว่า อย่างเห็นได้ชัด นั้นก็เพราะว่าจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นสามารถที่จะแสดงภาพได้เต็มพื้นที่ อีกทั้งความบาง และความคมชัดของจอภาพ จึงทำให้ดู เหมือนจอภาพของ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) จะมีพื้นที่แสดงภาพมากกว่าจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) ที่มีขนาดเท่ากัน
ขนาดความหนาของจอภาพที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ความคมชัดของภาพ:
ถึงแม้ว่าจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นจะมีระยะห่างของจุด (Dot Pitch) มากว่าจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) บางรุ่น แต่ความคมชัด และสีสันนั้น จอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) จะมีอยู่สูงกว่าจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) อยู่มากเนื่องจากว่าจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) ใช้หลักการเรืองแสง และแสดงภาพแบบดิจิตอลภาพที่ได้จะแสดง ได้ถูกต้องตามตำแหน่งของภาพได้มากกว่า และเนื่องจากเป็นผลึกเหลว การไล่สีของภาพจึงสามารถที่จะทำได้ดีกว่าการยิงแสงของจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) ภาพที่ได้จึงคมชัดมากกว่า

การกระจายของรังสี
นี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่เป็นที่พูดถึงกันมากในการใช้งานคอมพิวเตอร์ นั้นคือ การกระจายรังสีของจอภาพที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งจริง และการ กระจายรังสี นี้มีอยู่ในทุกๆ จอภาพ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ รวมทั้งอุปกรณ์แสดงภาพต่าง แต่ทำไหมถึงจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) จึงเป็นที่พูดถึงกับบ่อย ซึ่งจริงๆ แล้วจอภาพที่อาศัยหลักการยิงแสงอิเล็กตรอนให้เกิดภาพทุกจอ มีการกระจายรังสีเท่ากันไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ หรือจอ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) แต่การชม โทรทัศน์นั้นมักจะชมกันอยู่ในระยะที่ไกล จึงทำให้ได้รับรังสีน้อย และแทบจะไม่มีผลกระทบมากนัก แต่จอภาพที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์นั้น การใช้ งานส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะที่ใกล้ โอกาสที่จะได้รับรังสีจึงมีมากกว่าปกติ แต่สำหรับจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นการกระจายของรังสีนั้นมีน้อยกว่า จอภาพ แบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากรังสีจึงน้อยตามมา ซึ่งก็ช่วยให้สายตา และสุขภาพของผู้ใช้งานได้รับอันตรายจากการใช้งาน คอมพิวเตอร์ได้น้อยลง

ประหยัดพลังงาน
ข้อนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นใช้พลังงานที่น้อยกว่า จอภาพ แบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) ถึง 50%-60% ยิ่งถ้าในองค์ที่มีการใช้งานเครื่อง คอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมาก การใช้งาน จอภาพ แบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) จะเป็นการช่วยลดรายจ่ายในเรื่องของค่าไฟฟ้าในระยะยาวได้เป็นอย่างมาก และก็ถือ เป็นการประหยัดการใช้งานพลังงานไฟฟ้าได้เป็นอย่างมาก

ราคา
สำหรับในข้อนนี้นั้น จอภาพ แบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) คงจะได้เปรียบอยู่มากเนื่องจากจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) นั้นราคาถูกกว่าจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) อยู่มาก เมื่อ เปรียบเทียบในขนาดของจอภาพเดียวกัน ดังนั้นผู้ซื้อส่วนใหญ่มักจะเลือกซื้อจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) กันเป็นส่วนมาก ถึงแม้จอ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) จะมี ประสิทธิภาพในการใช้งานที่มากกว่า แต่ราคามักจะเป็นสิ่งที่กำหนด และมีผลในการตัดสินใจในการซื้ออยู่มาก


จากที่กล่าวมานั้นก็น่าที่จะทำให้การเลือกซื้อจอภาพแบบแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ผู้ที่ต้องการจะเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) มาใช้งานนั้นสามารถที่จะเลือกซื้อจอภาพที่เหมาะสมกับตัวผู้ใช้งาน และสามารถที่จะใช้งานได้ถึงประสิทธิภาพสูงสุดของจอภาพ และถึงแม้จอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) ยังมีราคาที่แพงกว่าจอภาพ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) อยู่มากนั้นแต่ประสิทธิภาพ และประโยชน์ที่จะได้รับจากจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นก็มีไม่น้อยถ้าจะตั้งงบในการเลือกซื้อจอภาพ มากขึ้นสักหน่อย ก็เป็นเรื่องที่ดีและสมควรเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่าลืมว่า การใช้งานที่ภาพที่ไม่เมาะสมกับงานที่ทำ หรือการตั้งค่าที่ผิดไป ผลเสียในจะมีต่อผู้ใช้ โดยตรง ซึ่งย่อมเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย จึงอยากจะให้ผู้ที่ต้องการจะเลือกซื้อจอภาพมาใช้งานนั้นเลือกซื้อจอภาพที่ดีมีคุณภาพ และเหมาะสมกับผู้ใช้ใหม่ มากที่สุด ซึ่งผลงานที่ได้ออกมานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดตามมาเหมือนกัน ..







เราสามารถที่จะปรับความละเอียดของจอภาพได้หลายแบบตามความต้องการ